วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สำคัญผิด ในข้อเท็จจริง

สำคัญผิด ในข้อเท็จจริง

            วันนี้อยากจะเล่าเรื่องข้อกฎหมาย  เรื่อง สำคัญผิด ในข้อเท็จจริง เป็นการแชร์ความรู้ ที่ศาลฎีกา ได้พิพากษาไว้แล้ว เพื่อให้เหล่าสมาชิก และเพื่อนๆ ได้รับทราบไว้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ เป็นประสบการณ์ ก็เนื่องจากว่าภาษากฎหมายนั้นเป็นภาษาที่ค่อนข้าง เข้าใจยากจะต้องมีการนั่งตีความกัน หลายประเด็น และเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจกันอย่างง่าย ๆ 

            วันนี้ก็จะขอเล่าเนื้อเรื่องของเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นและก็มีคำพิพากษาศาลฎีกาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งเป็นกรณีศึกษา ว่าถ้ามีเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้น เราจะกระทำอย่างไรเพื่อให้เราพ้นผิดในกรณีที่กระทำอาจจะมีความผิดทางกฎหมายได้
 แต่ถ้าเรารู้และได้รับทราบมาก่อนแล้ว ก็จะทำให้เราสามารถที่ประพฤติปฏิบัติตัวในลักษณะที่ไม่เป็นการต้องโทษคดีได้  เรื่องนี้ โดยตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 2550 / 2553 พิพากษา โดยมีใจความ ดังนี้


ภาพนี้ เป็นเพียงภาพประกอบ บทความเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ แต่อย่างใด


            ความว่า  ในขณะที่เกิดเหตุนั้นเป็นเวลาตอนกลางคืน จำเลย (ผู้ถูกฟ้องว่ากระทำความผิด) กำลังนอนอยู่ในเปล ที่ขนำในนากุ้ง เพื่อเฝ้าดูแลรักษาทรัพย์สินของตน  จำเลย เห็นรถยนต์แล่นผ่านเข้ามาใกล้ใกล้บริเวณนากุ้ง จึงได้ใช้ไฟสปอร์ตไลท์ส่อง ให้ทราบว่า ลักษณะนี้ว่า ต้องการให้ผู้ที่ขับรถผ่านเข้ามานั้นได้รับทราบว่ามีคนเฝ้าและดูแลในนากุ้ง  ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งการกระลักษณะนี้เป็นการกระทำเพื่อรักษาทรัพย์สินของตน  แต่  โจทก์ (ผู้ฟ้อง) ไม่สนใจในการส่องสปอร์ตไลท์นั้น และยังขับรถแล่นเข้ามาในบริเวณที่เกิดเหตุ (บริเวณบ่อนากุ้ง)  ซึ่งมิใช่ถนนสาธารณะที่ใช้สัญจรโดยทั่วไป  ซึ่งทางเข้ามายังนากุ้งในยามวิกาลประมาณ เวลา 3 นาฬิกา  และรถนั้นยังได้ชนกับจักรยานยนต์ของจำเลยซึ่งจอดอยู่หน้าขนำ  

            ลักษณะดังกล่าวย่อมทำให้ จำเลย (ผู้ถูกฟ้องว่ากระทำความผิด) เกิดความตกใจกลัว และสำคัญผิดว่าจะเกิดอันตรายขึ้นแก่ตน สำคัญคิดว่าจะมีคนร้ายเข้ามาทำร้ายตน
  ในขณะเดียวกันนั้นจำเลยก็หยิบปืนขึ้นมายิ่งขึ้นบนท้องฟ้าก่อน (เพื่อขู่ไม่ให้ผู้บุกรุกเข้ามา)  และยิงอีก 1 นัด ในระยะที่ใกล้ชิดที่ต่อเนื่องกัน ในขณะที่ ช. (ผู้เสียหาย) กับโจทก์ (ผู้ฟ้อง) กำลัง ร่วมกันเปิดประตูรถออกมา  ซึ่งลักษณะนี้ทำให้จำเลยเข้าใจผิดว่าผู้ที่อยู่ในรถนั้นมีอาวุธ  ซึ่งในระหว่างนั้นหากจำเลยชักช้าเพียงเล็กน้อย  จำเลยอาจจะได้รับอันตรายร้ายแรงก็ได้   

            ซึ่งจำเลยได้กระทำ (ยิงปืน) ลักษณะนี้ก็เพราะเป็นการป้องกันตน ให้พ้นจากอันตราย
  ซึ่งจำเลยสำคัญผิดว่าจะเกิดขึ้นแก่ตนเอง และเป็นภัยอันตรายที่ใกล้จะมาถึงตัว  อีกทั้งหลังจากจำเลยได้ยิงปืนนัดที่ 2 ไปแล้ว จำเลยก็ได้วิ่งหนีไปในทันที  โดยมิได้ยิงหรือทำร้ายโจทก์อีก ทั้ง ๆ ที่มีโอกาส  

เนื่องจาก โจทก์ร่วม (เพื่อของโจทก์ ที่ถูกยิง) ถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บ และลงมาจากรถแล้ว การกระทำของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุ เพื่อให้ตนพ้นจากอันตรายที่จำเลยสำคัญผิดว่าจะเกิดขึ้นอันเป็นการป้องกัน โดยชอบตามประมวลกฎหมายโดยสำคัญผิดมาตรา 68 ประกอบมาตรา 62 วรรคแรก  ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า

            มาตรา 62 วางหลักไว้ว่า ข้อเท็จใดถ้ามีอยู่จริง จะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด แม้ข้อเท็จจริงนั้นไม่มีอยู่จริง แต่สำคัญว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  (ภาษากฎหมาย)

            สรุป หมายความว่า จำเลยไม่มีความผิด เนื่องจาก จำเลยสำคัญผิดว่า จะเกิดขึ้นอันตรายต่อตนเองเพื่อ เป็นการป้องกันตนเอง และทรัพย์สิน จึงจำเป็นต้องยิงปืนป้องกันตัว นั้นเอง



////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น